#particle in oil

Particle In Oil : 90% ของความเสียหายในระบบไฮดรอลิค มีผลมาจากความสกปรกของน้ำมันที่ใช้งาน

1. ทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพปัจจุบัน มีการออกแบบอุปกรณ์ไฮดรอลิค ที่สามารถทำงานได้ซับซ้อน และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นดังนั้นอัตราการไหล หรือความดัน ที่ผิดปรกติ ย่อมส่งผลทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่สามารถทำงานเต็มประสิทธิภาพตาม ต้องการได้ สาเหตุเนื่องมาจากสิ่งสกปรกที่มีขนาดเล็กเข้าไปอุดตันการไหลของน้ำมันผ่าน Orifice

2. ทำให้เกิดการสึกหรอในอุปกรณ์ต่างๆ เพราะน้ำมันไฮดรอลิคในระบบ มีหน้าที่ในการ หล่อลื่นชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ให้เกิดการขัดสีกันโดยตรง แต่ถ้าหากว่าในน้ำมัน เกิดมีชิ้นส่วนของแข็งขนาดต่างๆ ปะปนอยู่ ดังนั้นแทนที่น้ำมันจะทำหน้าที่ปกป้องการสึกหรอ ชิ้นส่วนของแข็งเหล่านี้กลับจะเข้าไปขูดขีดสร้างความสึกหรอกับอุปกรณ์ต่างๆ คล้ายกับใช้กระดาษทรายไปขัดผิวของอุปกรณ์ต่างๆ ยิ่งมีการขัดสีมากเท่าไหร่ย่อมยิ่ง เพิ่มเศษโลหะของแข็งในระบบยิ่งขึ้น และสุดท้ายคุณก็ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์นั้นก่อนถึงเวลาอันควร

3. ทำให้เกิดการกัดกร่อน หรือเป็นสนิมสิ่งปนเปื้อนในน้ำมัน นอกจากจะเป็นของแข็งแล้ว ของเหลวหรือ "น้ำ" ที่ปะปนอยู่ในน้ำมัน ก็นับเป็นสิ่งอันตรายที่บั่นทอนอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฮดรอลิค น้ำในระบบจะเกิดได้จากหลาย สาเหตุด้วยกัน เช่น ความชื้นในอากาศ การรั่วซึมของอุปกรณ์ระบายความร้อน (Oil Cooler) ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำปนเปื้อนในระบบซึ่งเมื่อมีน้ำเพิ่มมากขึ้น

เราสามารถแบ่งชนิดของไส้กรองตามวัสดุที่นำมาผลิตได้เป็น 2 ประเภท

1. Surface Type Filter ไส้กรองแบบนี้จะดักจับสิ่งสกปรกที่ผิวด้านหน้าของไส้กรอง

2. Dept Type Filter ไส้กรองแบบนี้จะดักจับสิ่งสกปรกเอาไว้ภายในตัวไส้กรอง โดยการผลิตจะเป็นการนำเส้นใยสังเคราะห์มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

สาเหตุที่นำไส้กรองไปทำความสะอาด แล้วเกยจ์ วัดไม่ทำการเตือนนั้น เนื่องมาจากไส้กรองมีขนาดของรูพรุนที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สิ่งสกปรกสามารถผ่านได้โดยสะดวก ซึ่งก็เหมือนกับคุณไม่ได้ทำการติดตั้งไส้กรองในระบบนั่นเอง ดังนั้นก่อนจะนำไส้กรองไปทำความสะอาด โปรดสอบถามบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้แน่ใจว่าไส้กรองของท่านสามารถนำกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง